
สุทธิโชค จิตรศรีสมบัติ (แม็ก) เกิดวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2540 จบการศึกษาสาขาจีนศึกษา ระดับปริญญาตรีจากวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาปริญญาโทภาควิชามานุษยวิทยา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เขาเป็นผู้ก่อตั้งสมาคมยุวชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อไทย, ผู้ก่อตั้งมูลนิธิการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน, ผู้ก่อตั้งศูนย์กลางกิจกรรมจิตอาสาระดับชาติ, ผู้ก่อตั้งสมัชชาพุทธธรรมแห่งมนุษยนิยมใหม่, ผู้ก่อตั้งโรงเรียนสอนธุรกิจของตัวเขาเอง, เขายังประกอบธุรกิจส่วนตัวและมีเครือข่ายผู้บริโภคของเขา, เขายังเป็นลูกของพ่อแม่ที่เข้าสู่วัยชรา และเขาเลี้ยงหมา 1 ตัวชื่อ “อุ๊ดจิ๊ด”
ภูมิหลังชีวิต
ในวัยเด็ก สุทธิโชคถูกเลี้ยงดูในครอบครัวในครอบครัวชนชั้นกลางทั่วไป พ่อและแม่ของเขามีความเชื่อพุทธศาสนานิกายมหายานอย่างแข็งขัน เป็นผู้บรรยายธรรมของฝ่ายมหายาน ถึงกระนั้น ด้วยวัฒนธรรมผสมผสาน ทำให้เป็นความเชื่อพุทธศาสนามหายานแบบพันธุ์ทาง กล่าวคือ สุทธิโชคสวดมนต์ ฟังธรรม แต่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของสิ่งที่ได้ปฏิบัติอยู่ แม้ว่าจะทำตามที่พ่อแม่ได้สอนและบอกให้ทำ เมื่อเติบโตมากขึ้น ปัญหาบางประการเกิดขึ้นกับพ่อแม่และตัวเขากับองค์กรฆราวาสที่เขาได้คลุกคลีอยู่ด้วย ด้วยความเบื่อหน่าย เขาจึงอยากลองไปศึกษาในศาสนาอื่น เช่น ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม พุทธศาสนาเถรวาท รวมถึงนิกายมหายานที่แตกต่างจากความเชื่อดั้งเดิมของครอบครัวของตนด้วย
สุทธิโชคสะดุดใจกับบรรยากาศของความรัก ความอบอุ่นของผู้คนในศาสนาคริสต์ ทำให้สุทธิโชคทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ไปกับการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เริ่มต้นจากนิกายโรมันคาทอลิก แต่ก็ยังไม่กระจ่างชัด จึงหันไปศึกษาผ่านนิกายโปรแตสแตนท์ และมิได้ปิดกั้นต่อกลุ่มความเชื่อที่หลากหลาย แต่ด้วยพื้นฐานที่ได้รับความคิดแบบหลักเหตุผลตามหลักของพุทธศาสนา ทำให้สุทธิโชครู้สึกฝืนใจตนเองอย่างสูงที่จะต้องยอมรับว่าโลกนี้มีพระเจ้าปกครองชีวิตของเราอยู่ตลอดเวลา กล่าวได้ว่า ตลอดเวลาที่ศึกษาคริสต์ศาสนา สุทธิโชคไม่สามารถเข้าถึงพระเจ้าได้เลยแม้แต่น้อย แม้จะได้ทำทุกวิถีทางที่ได้รับการสั่งสอนแล้วก็ตาม แต่ก็รู้สึกดีกับวัฒนธรรมและบรรยากาศที่อบอุ่น
วันหนึ่ง เมื่อเทศกาลคริสต์มาสมาถึง สุทธิโชคฟังคำเทศนาของบทวิวรณ์ของคัมภีร์ไบเบิล ภาคพันธสัญญาใหม่ ในการเทศนาดังกล่าว ศาสนาจารย์ของโบสถ์แห่งหนึ่งเล่าถึงนรก ความตาย และพิพากษา การเข้าถึงความรอดของศาสนาคริสต์ เขานึกถึงคำสอนที่พุทธศาสนามหายานเคยสอนในสมัยเด็กว่า “นรกคือดินแดนแห่งแสงสว่างและสันติ” หมายความว่า ดินแดนสกปรกหรือดินแดนที่บริสุทธิ์ขึ้นอยู่กับจิตใจเราเท่านั้น ทุกอย่างเกิดขึ้นตามเหตุและปัจจัย ไม่ใช่ใครมาสั่งการหรือบันดาล ไม่มีคำว่าลงโทษหรือรับรางวัล มีแต่รับผลของเหตุที่สร้าง เขาเริ่มนึกถึงคำสอนอีกหลาย ๆ อย่างที่เขาเคยเรียนในวัยเด็ก และเริ่มเข้าใจความจริงของโลกและชีวิตมากขึ้น เขาจึงเริ่มตื่นขึ้นจากความไม่รู้เป็นครั้งแรก
หลังจากนั้น เขาจึงเริ่มหันกลับมาศึกษาพุทธศาสนามหายานมากขึ้น เขาพบว่า แม้แต่ในนิกายที่เขายึดถือมาตั้งแต่เด็กเอง ก็มีคำสอนและวิธีการปฏิบัติที่หลากหลาย ขัดแย้งกัน มีนัยยะทางการเมืองสูง มีสภาพธรรมที่เป็นการตื่นรู้น้อย เขาจึงพยายามศึกษาจนเริ่มเข้าใจขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้ว่าการเมืองภายในจะโจมตีเขาอยู่อย่างต่อเนื่องว่า เป็นคนเลว เป็นคนที่เคยทรยศต่อนิกายตนเองไปเข้ารีตนิกายอื่น ศาสนาอื่น และแม้จะปฏิเสธหรือสร้างความยากลำบากให้แก่เขานานับประการ แต่เขาในวัย 19 ปีก็ไม่ได้ลดละความพยายามที่จะศึกษาให้เข้าใจขึ้นทีละเล็กละน้อยต่อไป
ปรัชญาชีวิต
“สภาวธรรมที่ตื่นรู้ เกิดขึ้นได้เพราะปัญญา ซึ่งมาจากการไตร่ตรอง เป็นการพิจารณาสภาวะของชีวิตที่เป็นความจริง ทุกสิ่งที่เป็นจริงย่อมเป็นธรรม จึงไม่มีการปฏิบัติธรรมในป่าในเขา แต่การปฏิบัติธรรมคือการไตร่ตรองชีวิตเรากับธรรมว่า ไม่มีธรรมใดที่อยู่นอกตัวเราเลย แต่ธรรมละเอียดมาก ต้องพิจารณาทีละเหตุการณ์จนค่อย ๆ เข้าใจ จึงจะตื่นได้ เมื่อตื่นรู้ก็จะเห็นประจักษ์แจ้งในความจริงของปรากฏการณ์ทั้งหลาย”
สุทธิโชคไม่ใช่ผู้วิเศษ ไม่ใช่ศาสดา เป็นคนธรรมดาที่ตระหนักกับตนเองอยู่ตลอดตามธรรมว่า เราอาศัยอยู่ในกาลเวลา เกิดดับวนไปไม่มีที่สิ้นสุด เป็นไปตามคำสอนมหายานว่า ในสังสารวัฏนี้ นิพพานไม่ใช่การดับสูญ แต่เป็นสภาพธรรมที่ตื่นรู้ เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่ดับ ไม่ใช่เกิด แต่หากไม่ตื่นรู้ ก็จะวนเวียนไปเป็นทุกข์ หากตื่นรู้ จะสามารถดึงตัวตนแห่งความสุข หรือเรียกว่า พุทธภาวะ เป็นปัญญา เป็นพลังที่มีอยู่ในตนเอง ด้วยการปฏิบัติขัดเกลา ปัญญาจึงปรากฏ ด้วยความเข้าใจดังกล่าว เขาจึงพยายามนำปัญญาและพลังที่มีสรรค์สร้างประโยชน์แก่ตนเองและผู้อื่นมากที่สุดเท่าที่ทำได้
เป็นความจริงว่า บางครั้งเขาสำเร็จ บางครั้งเขาผิดพลาด บางครั้งเขาผิดหวัง บางครั้งเขาทุกข์ใจ แต่เพราะความเข้าใจในธรรม ทำให้ยังคงยืนหยัดและเดินหน้าต่อ และทำกิจกรรมเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่อง
ความเชื่อในแต่ละสิ่งที่ทำในชีวิต

สุทธิโชคทำธุรกิจส่วนตัวมาตั้งแต่อายุ 17 ปี บนพื้นฐานอยากช่วยเหลือผู้คนให้เข้าถึงสินค้าที่ดี มีคุณภาพ รับประกันคุณภาพของสินค้าและความพึงพอใจของผู้บริโภค เขาเป็นเจ้าของเครือข่ายผู้บริโภคจำนวนมาก ในขณะที่เขาสร้างโรงเรียนสอนธุรกิจเพื่อเปิดโอกาสให้กับเยาวชนหรือประชาชนธรรมดาที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยต้นทุนสูง เขาสอนให้เยาวชนสามารถมีความรู้เพื่อประกอบกิจการของตนเองได้ โดยร่วมมือกับหุ้นส่วนที่ดี และซื่อสัตย์สุจริต
เขาพยายามถ่ายทอดการ “เป็นคน ๆ นี้ที่ดีที่สุด” ผ่านการประกอบกิจที่ดีเพื่อตนเองและเพื่อผู้อื่นด้วยปัญญา เขาพยายามปลุกเร้าให้คนตระหนักถึงแก่นสารของการศึกษา “เพื่อคิดเป็น เลือกเป็น” ไม่ใช่การศึกษา “เพื่อใบปริญญา” เยาวชนส่วนมากถูกค่านิยมรีบเร่งเรียนจบ มีใบปริญญา ยิ่งเรียนสูงเท่าไหร่ได้ยิ่งดี และการมีงานดี ๆ ทำ ชักจูงให้เลือกอย่างสุ่มสี่สุ่มห้ากับชีวิตไปก่อน จนไม่ได้สำรวจตนเอง และไม่รู้จักตนเอง เป็นเหตุแห่งความทุกข์ และความไม่อยากเรียน
“อยากเข้าใจก่อนอยากเรียน” ถ้าไม่อยากรู้ จะไม่อยากเรียน การที่เด็กถูกผู้ปกครองกดดันเรื่องเกรดมีแต่ทำให้การศึกษาไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุก เด็กถูกบังคับให้เสพติดสภาวะเปรียบเทียบและแข่งขัน ทำให้ไม่รักการช่วยเหลือ ไม่เต็มใจจะแบ่งปัน ไม่คิดว่าต้องเดินหน้าไปด้วยกัน และมีความเป็นเอกเทศ เห็นแก่ตัว และเป็นพื้นฐานของความเอาดีเข้าตนเองก่อนเสมอ ในขณะที่การศึกษาก็รับหน้าที่เป็นกระโถน นึกอะไรไม่ออกก็โทษทุกปัญหาว่ามาจากการศึกษา
การยัดเยียดทุกอย่างเข้าไปในการศึกษาที่ต้องวัดผลประเมินผลเป็นตัวเลขทุกอย่าง ทำให้ภาระหนักอึ้งไปตกอยู่กับนักเรียน การเรียนจึงไม่ต่างจากการบังคับให้ต้องเดินไปโรงเรียน ไม่ใช่ดินแดนแห่งความสนุกสนานที่แต่ละคนจะได้สนุกกับความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ที่มีมากขึ้น พร้อมกันกับเข้าใจชีวิตมากขึ้น เด็กถูกบังคับให้เรียนตรีโกณมิติ ตรรกศาสตร์ เอกซ์โปเนนเชียล แคลคูลัส โดยที่ไม่ได้รับการสื่อสารว่าสิ่งเหล่านี้จะเอาไปช่วยเหลือชีวิตของพวกเขาอย่างไร
ภาวะที่น่ากังวลที่สุด ไม่ใช่การเกลียดการไปโรงเรียน แต่คือการเกลียดการเรียนรู้ กอปรกับผู้ปกครองในปัจจุบันมีความโน้มเอียงที่จะเป็นห่วงเด็กในเชิงกายภาพ มากกว่าการห่วงจิตเภท เป็นห่วงว่าลูกอยู่ตรงไหน กลับบ้านหรือยัง ไปเที่ยวที่ไหน ออกไปไหนกับใคร มากกว่าการสนใจว่าลูกเสพอะไรในมือถือแต่ละวัน ลูกติดสื่อโซเชียลมากขนาดไหน และสิ่งเหล่านั้นส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกอย่างไรบ้าง หากผู้ปกครองไม่มีทักษะในการสื่อสาร ปัญหาทางใจจะก่อตัวขึ้นช้า ๆ สะสมกลายเป็นปัญหาที่ไม่รู้จะเริ่มแก้จากตรงไหน เพราะจุดยืนแต่ละคนชัดเจนว่า ฉันคิดถูกแล้ว
ดูเหมือนว่า “การสื่อสารไม่สร้างสรรค์” จะเป็นเอกลักษณ์ของคนไทย ผู้ใหญ่อ้างประเพณี เด็กก็อ้างความเป็นสมัยนิยม ดังนั้น ผู้ใหญ่จึงเป็นคนที่เชย ในขณะที่เด็กก็เป็นเด็กแก่แดด สังคมจึงแบ่งแยกเป็น 2 ขั้วอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และนับวันจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น มิใช่เพียงแค่แรงงานไทยจะเสื่อมคุณภาพเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นผลจากการจัดการศึกษาที่ไม่มีประสิทธิภาพ แต่สังคมจะเดินหน้าไปหาความขัดแย้ง แบ่งแยก ซึมเศร้า รุนแรง เหงา และโดดเดี่ยว
สุทธิโชคเชื่อว่า สภาวะดังกล่าวสามารถแก้ได้ ถ้าเราสร้างพื้นที่และกิจกรรม เพื่อพัฒนาทักษะชีวิต (soft skills) เช่น ทักษะการสื่อสาร การทำงานเป็นทีม ความเป็นผู้นำ ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ ผ่านกิจกรรมที่สนุกสนาน เข้าอกเข้าใจ เข้าถึงได้ทุกเพศทุกวัย จะสามารถช่วยให้แต่ละคนดึงปัญญาที่มีอยู่แล้วภายในตนเองออกมาได้ เข้าใจตนเองและผู้อื่น ส่งผลให้สังคมจะกลมเกลียวมากขึ้น ถึงกระนั้น ความคิดทั้งหมดก็ไม่ใช่โลกสวย แต่ทำไม่ได้จริง กล่าวคือมิใช่ทุกคนจะเห็นด้วย แต่สุทธิโชคคือคนที่ผ่านห้วงเวลาของความทุกข์ ความสับสน ความเสียใจ ความผิดหวังของชีวิต เขาเข้าใจคนที่มีความทุกข์ และเขาเห็นคุณค่าของสังคมดี ๆ ที่ผู้คนควรปฏิบัติต่อกันด้วยดี และ มันได้เกิดขึ้นแล้วภายในองค์กรต่าง ๆ ที่เขาได้อุทิศแรงกาย ใจ และเวลาในการสร้าง
ฝากทิ้งท้าย

สุทธิโชคเป็นเด็กธรรมดาที่กำลังเติบโตเข้าสู่วัยกลางคน เขาหวังเพียงว่า แสงไฟที่ได้จุดขึ้น เพราะความเข้าใจความจริงของชีวิตผ่านประสบการณ์ชีวิตต่าง ๆ จะสามารถส่งต่อสู่ผู้คนและสร้างดินแดนแห่งแสงสว่างและสันติได้ เขาเชื่อว่าน้ำดีจะค่อย ๆ ไล่ให้น้ำไม่ดี (ความคิดเชิงลบในจิตใจของผู้คน) ให้ทุเลาเบาบาง จนหายไปให้ได้ในที่สุด (เขาเคยพยายามคว่ำถังแล้ว แต่เป็นไปไม่ได้จริงในสังคม) จึงต้องค่อย ๆ สะสมเหตุและปัจจัยไป ชวนผู้คนให้ค่อย ๆ ไตร่ตรองต่อไป
มีคำกล่าวว่า “คนไทยส่วนใหญ่สมาธิสั้น” เห็นว่าคงจะเป็นจริง เพราะคนส่วนใหญ่ จะอ่านไม่จบในข้อความดังกล่าวที่สุทธิโชค พยายามเขียนขึ้นเพื่ออธิบายตนเอง แต่เชื่อว่าจะต้องมีคนที่อ่านจบอย่างแน่นอน หวังว่าจะมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมดี ๆ นี้ด้วยกัน
“ชายตาบอด 4 คนพยายามคลำช้าง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นหรือสัมผัสช้างมาก่อน ทำให้เขาฉงนใจยิ่งว่าช้างนั้นมีรูปร่างลักษณะอย่างไร ชายคนแรกเอามือคลำงวง คิดว่าช้างเป็นเหมือนท่อ, ชายคนที่ 2 คลำท้อง คิดว่าช้างเป็นผืนเสื่อ, ชายคนที่ 3 คลำขา คิดว่าช้างเหมือนเสา, ชายคนที่ 4 คลำหางคิดว่าช้างรูปร่างเหมือนเชือก” นิทานเรื่องตาบอดคลำช้างนี้สอนให้เรารู้ว่า คนที่ตาบอดไม่สามารถเห็นความจริงที่เป็นจริงของสิ่งนั้นได้ เหมือนกับไม่สามารถเห็นช้างเป็นช้างได้ เช่นนั้น คนตาดี ถ้ามีปัญญาย่อมเห็นความหมายบางอย่างในบทความนี้โดยไม่ตัดสินเพียงทรรศนะแคบ ๆ ของตน
“ขอยกย่องสรรเสริญจิตใจด้านดีงามในตัวของทุกคน”
สุทธิโชค จิตรศรีสมบัติ